Britney Spears
Britney Jean Spears
บริตนีย์ จีน สเปียส์ (อังกฤษ: Britney Jean Spears) เป็นศิลปินเพลงป็อปหญิงชาวอเมริกัน เกิดเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 1981 ที่เมืองแม็คคอมบ์ รัฐมิสซิสซิปปี และเติบโตที่เมืองเคนต์วูด รัฐลุยเซียนา บริตนีย์มีความสามารถทั้งด้านการร้องเพลงและการเต้น ตั้งแต่อายุ 5 ปี เธอเข้าร่วมแสดงบนเวทีในงานโรงเรียน และงานประกวดต่างๆ ที่จัดขึ้น บริตนีย์ได้เข้าร่วมออดิชันเพื่อแสดงในรายการมิคกี้เมาส์คลับ เมื่ออายุ 8 ปี แต่ได้รับการปฏิเสธเนื่องจากยังเด็กเกินไป ต่อมาเมื่ออายุ 10 ปี เธอจึงเข้าร่วมประกวดร้องเพลงในรายการ Star Search สตาร์เสิร์ซ ต่อมาเมื่ออายุ 11 ปี บริตนีย์กลับเข้าไปออดิชันอีกครั้งและได้รับคัดเลือกให้ร่วมแสดงในรายการThe Mickey Mouse Club เดอะมิคกี้เมาส์คลับ เมื่อรายการมิคกี้เมาส์คลับปิดตัวลง บริตนีย์กลับไปใช้ชีวิตเด็กนักเรียนธรรมดาที่บ้านเกิด เมืองเคนต์วูด แต่ด้วยความที่เธอรักการร้องเพลงและการเต้น เธอจึงกลับมาตามความฝันของเธออีกครั้ง และได้เซนต์สัญญาเป็นศิลปินในค่าย Jive Records ไจฟ์เรคคอร์ด ในปี ค.ศ. 1997 และปล่อยอัลบัมแรก ...เบบีวันมอร์ไทม์ ในปี ค.ศ. 1999 ซึ่งเป็นอัลบัมที่มียอดขายสูงที่สุด ในฐานะศิลปินเดี่ยว ที่อายุยังอยู่ในช่วงวัยรุ่นตลอดระยะเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมาในเส้นทางดนตรี ถือได้ว่าบริตนีย์เป็นศิลปินแนวเพลงป็อปที่มีความโดดเด่น และมีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก ผู้คนจำนวนมากติดตามผลงาน บริตนีย์เป็นศิลปินที่สาธารณชนให้ความสนใจในชีวิตส่วนตัวมากที่สุดคนหนึ่งในวงการ ยอดขายที่ถล่มทลายจาก 2 อัลบัมแรกของเธอเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่าเธอคือ "POP ICON" ป็อปไอคอน อัลบัม "...Baby One More Time"...เบบีวันมอร์ไทม์ และ "Oops!... I Did It Again" อุปส์!... ไอดิดอิตอะเกน เป็นอัลบัมที่มียอดขายติดอันดับที่ 1 ในหลายประเทศ เพลงป็อบในแบบฉบับของบริตนีย์ได้มีอิทธิพลมากในช่วงปลาย ค.ศ. 1990 และเธอกลายเป็น "ศิลปินวัยรุ่นที่มียอดขายดีที่สุดตลอดกาล" ก่อนที่เธอจะอายุ 20 ปี[3] สิ่งเหล่านี้ทำให้เธอได้รับเกียรติจากสื่อขนานนามเธอให้เป็น "Princess of Pop" เจ้าหญิงแห่งเพลงป็อบ และ "Queen of Pop" ราชินีแห่งเพลงป็อบ
ชีวิตในวัยเด็กและครอบครัว ปี 1981 ถึง 2012
วัยเด็กและการเริ่มต้นบนเส้นทางบันเทิง
บริตนีย์ จีน สเปียส์ บริตนีย์เป็นบุตรสาวคนกลางของ เจมี พาร์เนลล์ สเปียส์ (อังกฤษ: James Parnell Spears) บิดามีอาชีพเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง และ ลินน์ ไอรีน บริดจ์ (อังกฤษ: Lynne Irene Bridges) มารดามีอาชีพเป็นครูสอนนักเรียนระดับชั้นประถม บรรพบุรษฝั่งมารดาสืบเชื้อสายมาจากเกาะมอลตา (ขณะนั้นเป็นอาณานิคมของประเทศอังกฤษ)[5] บริตนีย์มีพี่ชายคือ ไบรอัน เจมส์ สเปียส์ (อังกฤษ: Bryan James Spears )และน้องสาวคือ เจมี่ ลินน์ สเปียส์ (อังกฤษ: Jamie Lynn Spears) บริตนีย์ในวัยเด็ก เธอเริ่มเรียนบัลเลต์ เรียนเต้น ตั้งแต่อายุประมาณ 3 ปี และได้รับเลือกให้เต้นเดี่ยวในงานประจำปีของโรงเรียน เธอได้เรียนร้องเพลงและฝึกยิมนาสติก เธอรู้สึกว่าการฝึกเพื่อที่จะเป็นนักกีฬายิมนาสติกโอลิมปิกไม่ใช่สิ่งที่เธอมีความสุข เธอจึงเลือกที่จะทุ่มเทให้กับการเต้นและการร้องเพลง เธอมีความกระตือรือร้นที่จะเต้น ร้องเพลง แสดงบนเวที เมื่อบริตนีย์แสดง ผู้ชมที่พบเห็นต่างชื่นชมในความสามารถของเธอ บริตนีย์ได้รับการสนับสนุนจากแม่ และคุณครู ให้มีโอกาสได้แสดงความสามารถในการเต้นและร้องเพลง โดยการเข้าร่วมประกวดและชนะการประกวดหลายรางวัลในระดับรัฐ บริตนีย์ได้รับเลือกให้ร้องเพลง What Child Is This? ในงานจบการศึกษาระดับอนุบาลของโรงเรียน เธอกล่าวถึงความมุ่งมั่นของเธอในวัยเด็กว่า
![]() |
| ![]() |
— Britney Spears |
เส้นทางสู่การเป็นนักแสดงในรายการมิคกี้เมาส์คลับ ปี 1991 ถึง 1994
เมื่ออายุ 8 ปี บริตนีย์เดินทางไปแอตแลนตา เพื่อออดิชันเข้าร่วมรายการ The Mickey Mouse Club มิคกี้เม้าส์คลับ ทางช่องดิสนีย์ ซึ่งเธอสามารถผ่านเข้าถึงรอบสุดท้าย แต่ Matt Casella แมท คาเซลลา หนึ่งในคณะกรรมการคัดเลือกนักแสดง คัดเธอออกเนื่องจากเธอยังเด็กเกินไปที่จะทำงานในเวลานั้น แต่เขาก็ได้แนะนำบริตนีย์ให้กับ Nancy Carson แนนซี่ คาร์สัน แมวมองแห่งนิวยอร์ก คาร์สันประทับใจในเสียงร้องของบริตนีย์และแนะนำเธอให้ไปเรียนที่ Professional Performing Arts School หลังจากนั้นไม่นาน บริตนีย์และคุณแม่ลีนน์ย้ายจากลุยเซียนา มาเช่าอพาร์ตเมนต์ในนิวยอร์ก ที่ซึ่งบริตนีย์ใช้เวลาในฤดูร้อนช่วงปิดภาคเรียนในโรงเรียนการแสดง บริตนีย์ได้มีโอกาสแสดงละครบรอดเวย์เป็นครั้งแรก โดยเป็นนักแสดงสำรองในบท Tina Denmark ทีนา เดนมาร์ค เด็กหญิงแสนร้ายกาจซึ่งเป็นบทที่โดดเด่นในเรื่อง Ruthless! รูธเลส ในปี ค.ศ. 1991 เมื่ออายุ 11 ปี บริตนีย์ได้กลับไปเข้าร่วมคัดเลือกนักแสดงในรายการ มิคกี้เม้าส์คลับ อีกครั้ง และคราวนี้เธอได้รับคัดเลือก บริตนีย์เป็นส่วนหนึ่งของ มิคกี้เม้าส์คลับ ร่วมกับ จัสติน ทิมเบอร์เลค และ คริสติน่า อากีเลร่า บริตนีย์ได้แสดงในรายการมิคกี้เมาส์คลับ 2 ซีซัน หลังจากนั้นรายการนี้ก็ปิดตัวลงในปี ค.ศ. 1994 บริตนีย์จึงได้เดินทางกลับไปยังเคนต์วูด เพื่อเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนมัธยมที่ Parklane Academy ในเมืองแม็คคอมบ์ รัฐมิสซิสซิปปีการเป็นศิลปินเดี่ยว ปี 1997 ถึง 1998
มิถุนายน ค.ศ. 1997 บริตนีย์ได้รับการติดต่อจาก Lou Pearlman ลู เพิร์ลแมน เพื่อที่จะเข้าร่วมวงดนตรีหญิงล้วนที่มีชื่อว่า Innocence อินโนเซนต์ คุณแม่ลีนน์ได้ปรึกษาเรื่องนี้กับเพื่อนๆ ครอบครัว และนักกฎหมายธุรกิจบันเทิง Larry Rudolph ลารรี รูดอฟ รูดอฟตัดสินใจที่จะให้บริตนีย์ได้รับโอกาสเป็นศิลปินเดี่ยว บริตนีย์จำเป็นต้องทำเดโมเสียงร้องในระบบการอัดเสียงที่มีคุณภาพ รูดอฟจึงส่งเดโมเพลงของ Toni Braxton โทนี แบรกซ์ตัน ให้บริตนีย์ไปฝึกร้องและอัดเสียงในห้องอัด จากนั้นบริตนีย์ก็เดินทางไปที่นิวยอร์กพร้อมกับเดโม เข้าพบผู้บริหารบริษัทค่ายเพลง 4 บริษัท และกลับลุยเซียนาในวันนั้น ผลปรากฏว่า 3 บริษัทไม่รับเธอเข้าเป็นศิลปินในสังกัดโดยให้เหตุผลว่า "ตอนนี้ตลาดต้องการศิลปินกลุ่ม อย่างเช่น Backstreet Boys หรือ The Spice Girls และตอนนี้คงไม่มีใครจะเป็นได้อย่าง Madonna, Debbie Gibson หรือ Tiffany ได้หรอก" สองสัปดาห์ต่อมา ผู้บริหารบริษัท Jive Record ไจฟ์เรคคอร์ด ติดต่อกลับมาที่ รูดอฟ Jeff Fenster เจฟ เฟนสเตอร์ ประธานฝ่ายคัดเลือกศิลปินของบริษัทไจฟ์เรคคอร์ด กล่าวถึงการออดิชั่นของบริตนีย์ว่า![]() |
|
บริตนีย์ได้ร้องเพลง I have nothing ของ Whitney Houston วิธนีย์ ฮูสตัน ต่อหน้าผู้บริหารและได้เซนต์สัญญาเข้าเป็นศิลปินในสังกัด ไจฟ์เรคคอร์ด บริตนีย์ได้พบกับ Eric Foster White อีริคฟอสเตอร์ไวต์ ใช้เวลาเกือบเดือนในการเริ่มต้นทำงานเพลง ในช่วงแรกโปรดิวเซอร์ให้บริตนีย์ปรับเสียงร้องให้ต่ำ ทำให้ความเป็นเพลงป็อบลดลง แต่บริตนีย์เสนอว่า "เราควรจะวางแนวเพลงเน้นไปที่เพลงป็อบมากกว่าเพราะฉันสามารถเต้นในเพลงนั้นได้ มันเป็นตัวฉันมากกว่าค่ะ" ทางทีมทำเพลงจึงส่งบริตนีย์ให้ไปทำเพลงกับ Max Martin แม็กซ์มาร์ตินในสวีเดน ซึ่งครึ่งหนึ่งของอัลบัมเบบีวันมอไทม์ ในถูกบันทึกเสียงที่นี่ ตั้งแต่เดือนมีนาคม ถึงเมษายน ค.ศ. 1998
การทำงานและวงการบันเทิง ปี 1998 ถึง 2012
อัลบัม ...เบบีวันมอร์ไทม์ และอุปส์!... ไอดิดอิตอะเกน ปี 1998 ถึง 2000
เมษายน ค.ศ. 1999 ภาพบริตนีย์บนปกนิตยสารโรลลิงสโตน ที่นอนอยู่บนเตียง โดยสวมใส่เพียงชุดชั้นในและกางเกงขาสั้น โดย สถาบันครอบครัวแห่งอเมริกา American Family Association (AFA) กล่าวว่าภาพแฟชั่นนี้ทำให้เกิดความสับสนระหว่างภาพลักษณ์ของสาวน้อยไร้เดียงสากับสาวเซ็กซี่ ทำให้กลุ่มผู้เคร่งครัดในพระเจ้าต่อต้าน ไม่สนับสนุนอัลบัมของบริตนีย์ แต่บริตนีย์ก็ได้ชี้แจงต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าวว่า
![]() |
| ![]() |
Oops!... I Did It Again อุปส์!... ไอดิดอิตอะเกน อัลบัมที่ 2 ของเธอได้ปล่อยในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2000 ยอดขายอัลบัมพุ่งสู่อันดับที่ 1 ในอเมริกา สูงถึง 1.3 ล้านก็อบปี้ ทำลายสถิติของศิลปินเดี่ยวที่มียอดขายเปิดอัลบัมสูงที่สุดที่ได้มีการบันทึกไว้[21] อัลบัมนี้ขายได้มากกว่า 20 ล้านก็อบปี้ทั่วโลก Rob Sheffield ร็อบ เชฟฟิลด์ แห่งนิตยสารโรลลิงสโตน กล่าวว่า สิ่งที่เยี่ยมยอดในอัลบัมอุปส์อยู่ที่เนื้อในของผลงาน อัลบัม อุปส์!... ไอดิดอิตอะเกน ขึ้นสู่อันดับ 1 ในชาร์ตของประเทศออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อังกฤษ และอีกหลายๆประเทศในยุโรป อัลบัมนี้ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงในสาขาอัลบัมเพลงป็อปยอดเยี่ยมและศิลปินป็อบหญิงยอดเยี่ยมอุปส์!...ไอดิดอิตอะเกนทัวร์ออกแสดงทั่วโลกกวาดรายได้ไป 40.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปีเดียวกันนี้ เธอได้ปล่อยหนังสือเล่มแรกของเธอที่มีชื่อว่า Britney Spears'Heart to Heart โดยเธอเขียนร่วมกับคุณแม่ลีนน์วันที่ 7 กันยายน ค.ศ. 2000 บริตนีย์ได้แสดงในงาน MTV Video Music Awards เอ็มทีวีวิดีโอมิวสิกอะวอดส์ ในระหว่างการแสดง เธอได้ถอดชุดสูทสีดำออกเหลือเพียงชุดสีเนื้อรัดรูปบวกกับการเต้นที่เร้าใจ จนมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเซ็กซี่ของโชว์นี้ อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางการคาดเดาของสื่อที่จับจ้องเธออยู่ บริตนีย์ยอมรับว่าเธอกำลังคบหาดูใจกับจัสติน ทิมเบอร์เลค
อัลบัมบริตนีย์ ภาพยนตร์เรื่องครอสโรดส์ และอัลบัมอินเดอะโซน ปี2001 ถึง 2003
เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2001 บริตนีย์ได้เซนต์สัญญากับเป๊ปซี่ ราวๆ 7-8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเป็นพรีเซนเตอร์โปรโมตให้เป๊บซี่และปล่อยหนังสือ A Mother's Gift ที่ร่วมเขียนกับคุณแม่ลีนน์ด้วย อัลบัมที่ 3 ปล่อยในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2001 ในระหว่างทัวร์คอนเสิร์ตเธอได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปินเพลงฮิปฮอป เช่น Jay-Z เจซี The Neptunes เดอะเนปจูน และต้องการทำงานเพลงให้มีซาวด์ที่ฟังกีมากขึ้น (Funky of Pop music หมายถึงเพลงที่มีจังหวะที่หนักแน่นขึ้นทำให้จับจังหวะในการเต้นได้ง่ายขึ้น) อัลบัมนี้เปิดตัวที่อันดับ 1 ในบิลบอร์ดชาร์ตท๊อป 200 และขึ้นสู่ท๊อป 5 ในออสเตรเลีย อังกฤษและหลายประเทศในยุโรป ทำยอดขายได้มากกว่า 12 ล้านก็อบปี้ทั่วโลก Stephen Thomas Erlewine of Allmusic สตีเฟน โทมัส เออร์ลีไวน์ แห่ง ออลมิวสิก กล่าวว่า ในอัลบัมบริตนีย์ เธอพยายามใส่ความเป็นตัวตนในด้านที่เป็นผู้ใหญ่มากขึ้นและลึกซึ้งขึ้น ในขณะเดียวกันผู้ฟังก็ยังคงมองเห็นด้านที่เป็นเด็กวัยรุ่นของเธอ อัลบัมนี้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมีใน 2 สาขา คือ รางวัลอัลบัมเพลงป็อบยอดเยี่ยม และรางวัลศิลปินเพลงป็อบหญิงยอดเยี่ยม ในเพลง Overprotected โอเวอร์โพรเทคเทด และได้รับการจัดอันดับในปี ค.ศ. 2008 จาก Entertainment Weekly ให้เป็นหนึ่งในร้อยของอัลบัมที่ดีที่สุดใน 25 ปีที่ผ่านมาซิงเกิลแรกในอัลบัม I’m a slave 4 U แอมอะสเลฟฟอร์ยู ติดชาร์ตท๊อปเทนทั่วโลก
อัลบัมรวมเพลง บทบาทการเป็นแม่ มรสุมชีวิต และอัลบัมแบล็กเอาต์ ปี 2004 ถึง 2007
วันที่ 3 มกราคม ค.ศ. 2004 บริตนีย์ได้จดทะเบียนสมรสกับ Jason Allen Alexander เจสัน อัลเลน อเล็กซานเดอร์ ซึ่งเป็นเพื่อนสมัยวัยเด็ก ที่โบสถ์ The Little White Wedding Chapel เดอะลิตเติลไวต์เวดดิงแชพเพล ในลาสเวกัส การแต่งงานครั้งนี้เกิดขึ้นเพียง 55 ชั่วโมงเท่านั้น หลังจากนั้นจึงจดทะเบียนหย่า เหตุการณ์นี้ชี้ให้เห็นถึงการกระทำโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์และขาดการยั้งคิดถึงผลที่จะตามมาในการกระทำของเธอ เดือนมีนาคม ค.ศ. 2004 เธอได้เริ่มทัวร์คอนเสิร์ต The Onyx Hotel Tour ดิออนนิกซ์โฮเทลทัวร์ เพื่อโปรโมตอัลบัม In the Zone อินเดอะโซน วันที่ 8 มิถุนายน ค.ศ. 2004 บริตนีย์ประสบอุบัติเหตุล้มบาดเจ็บที่เข่าด้านซ้ายของเธอในระหว่างการถ่ายทำมิวสิกวิดีโอเพลง Outrageous เอาต์เรเจียส เธอถูกนำส่งโรงพยาบาลโดยทันที แพทย์ได้ทำ MRI พบกระดูกเข่าแตก แพทย์จึงทำการผ่าตัดเข่าและเข้าเฝือกไว้นาน 6 สัปดาห์ และเธอต้องทำกายภาพบำบัดนาน 8-12 สัปดาห์ จึงส่งผลให้เธอต้องยกเลิกคอนเสิร์ตดิออนนิกซ์โฮเทลทัวร์ที่เหลือ ในปี ค.ศ. 2004 นี้ บริตนีย์ได้หันมานับถือลัทธิ Kabbalah แคบบาลาห์ ตามการแนะนำของมาดอนนา
เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2004 บริตนีย์ประกาศว่าเธอหมั้นกับแดนซ์เซอร์หนุ่ม Kevin Federline เควิน เฟเดอร์ไลน์ ซึ่งทั้งคู่พบกันเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว ความรักครั้งนี้เป็นที่จับตามองจากสื่อในทุกฝีก้าว ตั้งแต่ข่าวที่เควินทิ้ง Shar Jackson ชาร์แจ็คสัน ที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ในขณะนั้น ในช่วงหวานฉ่ำของคู่รักบริตนีย์-เควิน เธอได้นำเสนอเรื่องราวส่วนตัวของเธอในรูปแบบเรียลริตีโชว์บันทึกเป็นดีวีดี Britney & Kevin: Chaotic บริตนีย์แอนด์เควิน :เคออทิค ทั้งคู่ได้แต่งงานกันในวันที่ 18 กันยายน ค.ศ. 2004 แต่ยังไม่เป็นสามีภรรยากันอย่างถูกต้องตามกฎหมายจนกว่าจะถึง 3 สัปดาห์หลังแต่งงาน คือวันที่ 6 ตุลาคม เนื่องจากความล่าช้าในการยินยอมการสมรส หลังจากนั้นไม่นาน บริตนีย์ได้ปล่อยน้ำหอมเบอร์แรกของเธอCurious คิวเรียส กับแบรนด์ Elizabeth Arden เอลิซาเบธ อาร์เดน ซึ่งสามารถทุบสถิติรายได้สูงสุดในสัปดาห์แรกของน้ำหอมจากทุกแบรนด์ เดือนตุลาคม ค.ศ. 2004 บริตนีย์ประกาศว่าเธอจะพักงานเพื่อสร้างครอบครัวของเธอ อัลบัมรวมเพลง Greastest Hits: My Prerogative เกรสเทดฮิต: มายพรีโรกาทีฟ เป็นอัลบัมรวมเพลงครั้งแรกของเธอ ถูกปล่อยในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2004 บริตนีย์ได้ร้องคัพเวอร์เพลง “My Preogative” มายพรีโรกาทีฟ ซึ่งเป็นเพลงเก่าของ Bobby Brown บ็อบบี บราวน์ โดยปล่อยเป็นซิงเกิลแรกของอัลบัม ติดชาร์ตอันดับ 1 ในประเทศฟินแลนด์ ไอร์แลนด์ อิตาลี และนอร์เวย์ ซิงเกิลที่ 2 “Do Something” ดูซัมธิง ขึ้นสู่ชาร์ตท๊อปเทนในประเทศออสเตรเลีย อังกฤษ และประเทศในแถบยุโรป Greastest Hits: My Prerogative มียอดขายรวมมากกว่า 5 ล้านก็อบปี้ทั่วโลก ปลายปี ค.ศ. 2004 บริตนีย์ไปที่ KIIS-FM radio คิสเอฟเอ็มเรดิโอ ซึ่งเป็นคลื่นวิทยุชื่อดังในลอสแอนเจลิส โดยเธอได้นำเดโมเพลง “Mona Lisa โมนาลิซา” ไปโปรโมตที่คลื่นวิทยุดังกล่าวด้วยตัวเธอเอง โดยเธอบอกว่าเพลงโมนาลิซาจะเป็นซิงเกิลแรกในอัลบัมใหม่ที่มีชื่อว่า Original Doll ออริจินอลดอล อย่างไรก็ตาม ทางต้นสังกัดได้ยกเลิกอัลบัมออริจินอลดอลอย่างไร้สาเหตุ บริตนีย์ได้ให้กำเนิดบุตรชาย Sean Preston Federline ฌอง เพรสตัน เฟเดอร์ไลน์ ในวันที่ 14 กันยายน ค.ศ. 2005
เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2005 บริตนีย์ปล่อยอัลบัมรีมิกซ์ รวมเพลงอัลบัมแรกของเธอ B in the Mix: The Remixes บีอินเดอะมิกซ์ : เดอะรีมิกซ์ ซึ่งประกอบไปด้วย 11 เพลงรีมิกซ์ ที่มียอดขายมากกว่า 1 ล้านก็อบปี้ทั่วโลก ทำให้อัลบัมนี้เป็นหนึ่งในอัลบัมที่ขายดีที่สุดตลอดกาล เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2006 ภาพที่บริตนีย์อุ้มลูกชายฌองเพรสตันไว้บนตักขณะขับรถ เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ถึงการกระทำของเธอว่าการขับรถมือเดียวโดยอุ้มลูกไว้บนตักนั้นอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุและอันตรายต่อเด็กได้ บริตนีย์ได้กล่าวว่าในสถานการณ์เช่นนั้นเธอกลัวปาปารัซซีที่ต่างรุมล้อมเธอและมันก็เป็นความผิดพลาดของเธอเอง หลังจากนั้นไม่กี่เดือน บริตนีย์ได้เป็นแขกรับเชิญซิทคอมเรื่อง Will & Grace วิลแอนด์เกรซ ตอน Buy, Buy baby บาย บาย เบบี้ โดยรับบทเป็น Amber Louise แอมเบอร์ หลุยส์ เดือนมิถุนายน ค.ศ. 2006 บริตนีย์ได้ประกาศว่าเธอไม่ได้นับถือลัทธิแคบบาลาห์อีกต่อไป เธอกล่าวว่า ลูกชายของเธอคือแก้วตาดวงใจ และเป็นคนที่เธอจะยึดมั่นไว้ในชีวิต หลังจากนั้น 2 เดือน เธอได้ถ่ายภาพ Nude ขณะที่เธอตั้งครรภ์ลูกชายคนที่ 2 ลงปกนิตยสาร Harper’s Bazaar ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าคล้ายคลึงกับ Demi Moore เดมีมัวร์ที่เคยถ่ายแบบในลักษณะนี้ลงปกนิตยสาร Vanity Fair เมื่อเดือน สิงหาคม ค.ศ. 1991 บริตนีย์ได้ให้กำเนิดบุตรชายคนที่ 2 Jayden James Federline เจเดน เจมส์ เฟเดอร์ไลน์ เมื่อวันที่ 12 กันยายน ค.ศ. 2006 จากนั้น วันที่ 7 พฤศจิกายน ค.ศ. 2006 ได้จดทะเบียนหย่ากับเควิน เฟเดอร์ไลน์ โดยอ้างว่ามีความแตกต่างที่ไม่สามารถจะคืนดีกันได้ การหย่าร้างนี้สิ้นสุดอย่างเป็นทางการในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2007 ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2007 คุณป้าแซนดร้า บริดจ์ โควิงตัน (พี่สาวคุณแม่ลีนน์) ซึ่งเป็นคุณป้าที่บริตนีย์ใกล้ชิด เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งรังไข่ จากนั้นวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2007 บริตนีย์ถูกนำเข้าไปอยู่ในศูนย์บำบัดผู้ติดสารเสพติดและแอลกอฮอล์บนเกาะแอนติกา ในระยะเวลาไม่ถึงวัน คืนต่อมาเธอได้ออกมาที่ร้านตัดผมในเมืองทาร์ซานา ลอสแอนเจลิส และโกนผมตนเองจนศีรษะโล้น สัปดาห์ต่อมาหลังจากเหตุการณ์นั้นเธอได้กลับเข้าไปที่ศูนย์บำบัดอีกครั้ง หลังจากการรักษาครบ 1 เดือนที่ศูนย์บำบัด Promises พรอมิสเซส เธอได้เขียนถึงแฟนๆ บนเวปไซต์ของเธอว่า
![]() |
|
![]() |
ต้องเข้ารับการรักษาในศูนย์บำบัดและอัลบัมเซอร์คัส ปี 2007-2008
วันที่ 3 มกราคม ค.ศ. 2008 บริตนีย์ไม่ยอมที่จะเสียสิทธิ์ในการคุ้มครองบุตรชายทั้งสองให้กับเควิน ต่อมาตำรวจได้รับแจ้งว่ามีเหตุร้ายเกิดขึ้นที่บ้านของบริตนีย์ จึงรีบรุดเข้าไป นำทั้งบริตนีย์และลูกชายทั้งสองออกมา และส่งบริตนีย์ไปรับการรักษาที่ Cedars-Sinai Medical Center ทำให้การนัดฟังคำสั่งศาลเรื่องสิทธิ์ในการคุ้มครองบุตรต้องเลื่อนออกไปก่อน และเควินจึงได้รับสิทธิ์ในการคุ้มครองบุตรตามกฎหมายเพียงฝ่ายเดียว วันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 2008 บริตนีย์ได้เข้ารับการรักษาเป็นผู้ป่วยใน แผนกจิตเวชที่ Ronald Reagan UCLA Medical Center ศาลจึงมีคำสั่งให้บริตนีย์ต้องอยู่ในความคุ้มครองของบิดา เจมส์ สเปียรส์ และทนาย แอนดรูว์ วอลเลท โดยให้มีอำนาจในการควบคุมดูแลทรัพย์สินทั้งหมดของเธอ หลังจากนั้นบริตนีย์ได้ถูกปล่อยตัวออกจากโรงพยาบาลในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2008 ซึ่งทั้งบิดาและทนายมีท่าทีผิดหวังและเป็นห่วงกับการที่หมอปล่อยตัวบริตนีย์ออกมาเร็วเกินไป ในเดือนถัดมา บริตนีย์ได้เป็นแขกรับเชิญในซีรีส์ เรื่อง How I Met Your Mother ฮาวไอเมตยัวร์มาเธอร์ ตอน Ten Sessions เทนเซสชันส์ รับบทเป็น Abby แอบบี ในเรื่องการแสดงของเธอได้รับผลตอบรับที่ดีทีเดียว ส่งผลให้ซีรีส์เรื่องนี้ได้รับความนิยมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2008 บริตนีย์ได้รับสิทธิ์ในการเยี่ยมบุตรอีกครั้งหลังจากได้ทำข้อตกลงกับเควินและทนาย วันที่ 7 กันยายน ค.ศ. 2008 บริตนีย์ได้รับรางวัลวิดีโอศิลปินหญิงยอดเยี่ยม วิดีโอเพลงป็อบยอดเยี่ยม และ วิดีโอแห่งปี ในมิวสิกวิดีโอเพลง Piece of Me พีซออฟมี จากนั้นบริตนีย์ได้ปล่อยวิดีโอชีวประวัติ ตีแผ่เรื่องราวมรสุมที่ผ่านมาในชีวิตของเธอใน Britney: For the Record บริตนีย์ฟอร์เดอะเรคคอร์ดโดยถ่ายทำใน Beverly Hills เบเวอร์รีฮิลส์ Hollywood ฮอลลีวูด และ New York นิวยอร์ก เมื่อปลายปี ค.ศ. 2008 เริ่มถ่ายเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2 วัน ก่อนที่บริตนีย์จะไปปรากฏตัวที่งานเอ็มทีวีวิดีโอมิวสิกอะวอร์ด ฟอร์เดอะเรคคอร์ดออกอากาศที่ช่อง MTV เอ็มทีวี วันที่ 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 2008 เปิดตัววันแรกมีผู้ชมมากถึง 5.6 ล้านวิว เอ็มทีวีรายงานว่ารายการของบริตนีย์ได้รับความนิยมมากที่สุดในคืนวันอาทิตย์ที่มีการออกอากาศ
อัลบัมที่ 6 ของบริตนีย์ Circus เซอร์คัส ปล่อยในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2008 ได้รับเสียงตอบรับจากนักวิจารณ์เป็นอย่างดี เซอร์คัสเปิดตัวอันดับ 1 ที่แคนาดา สาธารณรัฐเชค สหรัฐอเมริกา และอีกหลายประเทศในยุโรป ได้มีการลงบันทึกใน Guinness Book of World Records ด้วย ว่าบริตนีย์เป็นศิลปินหญิงอายุน้อยที่สุดที่มีอัลบัมเปิดตัวอันดับ 1 ได้ทั้ง 5 อัลบัม และอัลบัมเซอร์คัสเป็นอัลบัมที่มียอดขายรวดเร็วที่สุดอัลบัมหนึ่งแห่งปี โดยมียอดขาย 4 ล้านก็อปปี้ทั่วโลก ซิงเกิลแรก Womanizer วูแมไนเซอร์ ติดชาร์ตอันดับ 1 ในบิลบอร์ดชาร์ตท๊อป 100 จากซิงเกิลแรกสุด ...เบบีวันมอร์ไทม์ จนถึงซิงเกิลล่าสุด วูแมนไนเซอร์ ทุกๆ ซิงเกิลแรกในแต่ละอัลบัม สามารถขึ้นชาร์ตอันดับ 1 ในหลายประเทศได้สำเร็จ ทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมีสาขาเพลงเร็วยอดเยี่ยม ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2009 บริตนีย์และบิดาได้รับคำสั่งศาลห้ามเข้าใกล้ ผู้จัดการ Sam Lufti แซมลุฟท์, Adnan Ghalib แอดนัน กาลิบ และทนาย Jon Eardley โจน เอิร์ดเลย์ ซึ่งบุคคลที่ศาลกล่าวอ้างมานี้พยายามจะเข้ามาควบคุมทรัพย์สินของครอบครัวสเปียส์ โดยศาลสั่งห้ามแซมลุฟท์ และ แอดนัน กาลิบ มิให้ติดต่อกับครอบครัวสเปียส์หรือเข้าใกล้ทรัพย์สินของครอบครัวสเปียส์เกินกว่าระยะ 250 ยาร์ด บริตนีย์เริ่มแสดงทัวร์ The Circus Starring Britney Spearsเดอะเซอร์คัสสตาร์ริ่งบริตนีย์ สเปียส์ ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2009 รายได้รวมจากการแสดงทัวร์ในสหรัฐอเมริกา รวม 131.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นรายได้ทัวร์ที่สูงสุดอันดับที่ 5 ของการแสดงทัวร์แห่งปี บริตนีย์ได้ปล่อยอัลบัมรวมฮิต The Singles Collection เดอะซิงเกิลคอลเลคชัน ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2009 เพลง "3" เป็นเพลงที่ 3 ที่ได้อันดับ 1 ในชาร์ตสหรัฐอเมริกา ในเดือนถัดมาบริตนีย์ได้ปล่อย Application แอปพลิเคชันสำหรับ iPhone ไอโฟนและ iPod Touch ไอพอดทัช ที่มีชื่อว่า It’s Britney! ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2010 บริตนีย์ได้ประกาศว่าเธอกำลังคบกับ Jason Trawick เจสัน ทราวิค บริตนีย์ได้ออกแบบเสื้อผ้าชุดพิเศษให้กับ Candie’s ซึ่งออกวางขายในเดือน กรกฎาคม ค.ศ. 2010 วันที่ 28 กันยายน ค.ศ. 2010 บริตนีย์ได้ร่วมแสดงในทีวีโชว์เรื่อง Glee กลี ชื่อตอนBritney/Brittany ซึ่งได้รับความนิยมจากผู้ชมเป็นอย่างมาก
ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2007 เธอได้โปรดิวคอนเสิร์ตของเธอเองที่ไนท์คลับ House of Blues เฮาส์ออฟบลูส์ โดยใช้ชื่อว่า The M+M’s Tour เดอะเอ็มพลัสเอ็มส์ ทัวร์ วันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 2007 บริตนีย์สูญเสียสิทธิ์ในการครอบครองบุตรชายทั้งสองให้กับเควิ่น โดยเหตุผลของคำสั่งศาลไม่ถูกเปิดเผยต่อสาธารณชน และในปี ค.ศ. 2007 นี้ บริตนีย์ก็ถูก Louis Vuitton หลุยส์วิกตองฟ้องร้องเนื่องจากในมิวสิกวิดีโอเพลง Do Something ดูซัมธิง ของเธอ มีภาพลาย Cherry Blossom ลิขสิทธิ์ของหลุยวิกตองปรากฏอยู่ ทำให้วิดีโอเพลงนี้ถูกแบนจากทีวีหลายช่องในยุโรป
อัลบัมที่ 5 ของเธอ Blackout แบล็กเอาต์ ถูกปล่อยเมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 2007 เปิดตัวอันดับ 1 ในประเทศแคนาดา และไอร์แลนด์ ติดชาร์ตอันดับที่ 2 ในบิลบอร์ดชาร์ตท๊อป 200 ในสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น เม็กซิโกอังกฤษ และติดชาร์ตท๊อปเทนในออสเตรเลีย เกาหลีและนิวซีแลนด์ ในสหรัฐอเมริกา บริตนีย์กลายเป็นศิลปินหญิงเพียงคนเดียวที่มีซิงเกิลเปิดตัวในแต่ละอัลบัม รวมทั้งหมด 5 อัลบัม ติดชาร์ตอันดับ 1 และ 2 อันดับแรกของชาร์ต อัลบัมแบล็คเอาต์มียอดขายมากกว่า 3.1 ล้านก็อบปี้ทั่วโลก Peter Robinson ปีเตอร์ โรบินสัน แห่ง The Observer ดิออฟเซิร์ฟเวอร์ กล่าวว่า “บริตนีย์ได้ปล่อยอัลบัมที่ดีที่สุดในอาชีพนักร้องของเธอ และได้ผสมผสานเพลงป็อบร่วมสมัยกับรีมิกซ์ของ Timbaland ทิมบาแลนด์ Dennis Lim เดนนิส ลิม แห่ง Blender เสริมว่า อัลบัมที่ 5 ของบริตนีย์ เป็นอัลบัมที่หนักแน่นโดดเด่นไปด้วยอิเล็กโทรป็อบ
แบล็คเอาต์ได้รับรางวัลอัลบัมแห่งปีจากงาน MTV Europe Music Awards เอ็มทีวียุโรปอะวอดส์ ปี ค.ศ. 2008 และได้รับการจัดอันดับจากนิตยสารไทม์ให้เป็นอัลบัมป็อบที่ดีที่สุดอันดับที่ 5 ในทศวรรษ บริตนีย์ได้แสดงในเพลงGimme More กิมมีมอร์ ซึ่งเป็นเพลงโปรโมตอัลบัม ที่งาน MTV Video Music Awards เอ็มทีวีวิดีโอมิวสิกอะวอดส์ ปี ค.ศ. 2007 การแสดงนี้มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงความร่อแร่ในอาชีพการแสดงโชว์ของเธอ David Willis เดวิด วิลลิส แห่ง BBCสำนักข่าวบีบีซี กล่าวว่า โชว์นี้ของบริตนีย์จะถูกบันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ว่าเป็นหนึ่งในโชว์ที่แย่ที่สุดในงานเอ็มทีวีอะวอร์ด สวนกระแสกับความย่ำแย่ของโชว์ ซิงเกิลกิมมีมอร์ประสบความสำเร็จทั่วโลก ติดชาร์ตอันดับ 1 ในแคนาดา และติดชาร์ตท๊อปเทนเกือบทุกประเทศ ซิงเกิลที่ 2 Piece of Me พีซออฟมี ติดชาร์ตอันดับ 1 ในไอร์แลนด์ และติดชาร์ตท๊อปไฟว์ในออสเตรเลีย แคนาดา เดนมาร์ค นิวซีแลนด์ และอังกฤษ ซิงเกิลที่ 3 Break the Ice เบรกดิไอซ์ ปล่อยในปีถัดไปและประสบความสำเร็จในระดับปานกลางเพราะบริตนีย์ไม่สามารถมาทำงานโปรโมตซิงเกิลนี้ได้มากเท่าที่ควร ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2007 บริตนีย์เริ่มมีความสัมพันธ์กับปาปารัซซีที่ชื่อว่า Adnan Ghalib แอดนัน กาลิบ
ค.ศ. 2011-ปัจจุบัน
[แก้]อัลบัมฟามฟาเตล Femme Fatale และรายการดิเอกซ์แฟคเตอร์ The X factory
ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2011 บริตนีย์ได้ปล่อยอัลบัมที่ 7 ของเธอ Femme Fatale [[ฟามฟาเตล]] โดยมี Max Martin แม็กซ์มาติน และ Dr. Luke ด็อกเตอร์ลุค เป็นโปรดิวเซอร์ในอัลบัมนี้ ซิงเกิลแรก Hold It Against Meโฮลด์อิตอะเกนต์มี ขึ้นอันดับ 1 บิลบอร์ดฮอต 100 ทำให้ซิงเกิลนี้เป็นซิงเกิลที่ 4 ที่สามารถเปิดตัวที่อันดับ 1 ได้ อัลบัมนี้มียอดขายอันดับ 1 ในสหรัฐอเมริกา (มียอดขาย 276,000 ก็อปปี้ในสัปดาห์แรก) ส่งผลให้บริตนีย์เป็นหนึ่งใน 3 ศิลปินหญิงที่มีซิงเกิลติดชาร์ตอันดับ 1 มากที่สุด ซึ่งได้แก่ Mariah Carey มารายห์ แคร์รี่ Janet Jackson เจเน็ต แจ็คสัน และ Britney Spears บริตนีย์ สเปียส์ นักวิจารณ์มองว่าอัลบัมฟามฟาเตล เป็นอัลบัมที่ดีที่สุดอัลบัมหนึ่งของบริตนีย์ หลังจากที่ริอานนาทวิตถามแฟนๆ ว่าอยากให้ศิลปินคนใดมาร่วมร้องเพลงกับเธอ ในที่สุดเดือนเมษายน ค.ศ. 2011 บริตนีย์ก็ได้ร่วมฟีเจอร์ริงกับ Rihanna ริอานน่า ในเพลง S&M เอสแอนด์เอ็ม ซิงเกิลนี้ขึ้นชาร์ตอันดับ 1 ในอเมริกา ทำให้บริตนีย์มีซิงเกิลที่ 5 ที่ติดชาร์ตอันดับ 1 ในบิลบอร์ดชาร์ต ต้นเดือนพฤษภาคม ซิงเกิลที่ 2 จากอัลบัมฟามฟาเตล Till The World Ends ทิลเดอะเวิร์ลเอนด์ ติดชาร์ตอันดับที่ 3 ในบิลบอร์ดฮอต 100 และได้รับความนิยมจากผู้ฟังสูงที่สุดในสัปดาห์จากตลอดระยะเวลา 13 ปีที่เพลงของบริตนีย์อยู่ในบิลบอร์ดชาร์ต
เพลงไอวอนนาโก I Wanna Go ซิงเกิลที่ 3 ในอัลบัมฟามฟาเตล ติดท๊อป 40 บนชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100 ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2011 และในเดือนสิงหาคม ซิงเกิลนี้ก็ติดท๊อปเทน ซึ่งเป็นครั้งแรกที่บริตนียมีทั้ง 3 ซิงเกิลในอัลบัมติดท๊อปเทนทั้ง 3 เพลง เพลงไอวอนนาโก ขยับจากอันดับ 2 ขึ้นอันดับ 1 ได้ในวันที่ 24 กันยายน ค.ศ. 2011 ส่งผลให้เพลงไอวอนนาโกเป็นเพลงที่ 6 ของบริตนีย์ที่สามารถขึ้นสู่อันดับ 1 ในบิลบอร์ดชาร์ตได้สำเร็จ ทำให้บริตนีย์เป็นศิลปินที่ปล่อยเพลงแล้วติดชาร์ตอันดับ 1 ยาวนานตลอดทั้ง 12 ปี ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2011 มิวสิกวิดีโอเพลง Criminal คริมินัล ซึ่งเป็นซิงเกิลที่ 4 ในอัลบัมฟามฟาเตล เกิดข้อพิพาทกรณีที่บริตนีย์ใช้ปืนประกอบการถ่ายทำมิวสิกวิดีโอเพลงนี้ที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ ซึ่งในขณะนั้นเกิดสถานการณ์ไม่สงบขึ้น โดยนักการเมืองในอังกฤษตำหนิการกระทำนี้ว่าเป็นการทำให้เกิดกระแสการใช้ปืนข่มขู่กรรโชกทรัพย์ และบริตนีย์ควรแสดงความรับผิดชอบโดยการบริจาคเงินให้มูลนิธิ Hackney charity ผู้จัดการของบริตนีย์กล่าวถึงเหตุการณ์นี้ว่า มิวสิกวิดีโอนี้เป็นเรื่องราวที่ถูกแต่งขึ้น โดยมีบริตนีย์และเจสัน ทราวิคแสดง และเพลงนี้ถูกแต่งขึ้นเมื่อ 3 ปีที่แล้วก่อนที่จะมีเหตุการณ์ไม่สงบเกิดขึ้นในลอนดอนเสียอีก จากความนิยมในตัวบริตนีย์ หลังจากนั้นไม่นานบริตนีย์เป็นศิลปินคนที่ 7 ที่ได้ยอดวิวรวมในช่องวีโว Vevo ครบ 1 พันล้านวิว ในปี ค.ศ. 2011 บิลบอร์ดจัดตำแหน่งให้บริตนีย์เป็นศิลปินแห่งปี ลำดับที่ 14 และ นิตยสารโรลลิงสโตน ขนานนามให้เพลง Till the World Ends เป็นเพลงที่ดีที่สุดแห่งปี เดือนมีนาคม ค.ศ. 2011 บริตนีย์ประกาศว่าเธอจะแสดงคอนเสิร์ตทั่วสหรัฐอเมริกาตลอดช่วงฤดูร้อนนี้ ฟามฟาเตลทัวร์เปิดแสดงรอบแรกในวันที่ 16 มิถุนายน ที่ the Power Balance Pavillion เดอะพาวเวอร์ บาลานซ์ พาวิลเลียน ใน Sacramento ซาคราเมนโต California รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งได้รับคำวิจารณ์ในทางบวก เพื่อลบคำครหาว่าเธอเป็นนักร้องที่เอาแต่งร้องลิปซิง บริตนีย์ร้องสดมากขึ้น ในคอนเสิร์ตเดอะเซอคัสสตาร์ริ่งบริตนีย์เสปียรส์ และในขณะเดียวกันเธอก็เต้นได้ดี นักวิจารณ์ส่วนใหญ่ยกให้ปีที่ผ่านมาเป็นปีที่ดีที่สุดของเธอ ทัวร์นี้แสดงทั้งหมด 79 รอบ สิ้นสุดในวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 2011 ใน Puerto Rico เปอร์โตริโก และได้มีการบันทึกเป็นดีวีดีปล่อยใน วันที่ 21 พฤศจิกายน มียอดขายมากกว่า 19,000 ก็อปปี้ และเปิดตัวติดชาร์ตอันดับ 2 ในบิลบอร์ดดีวีดีชาร์ต รองจาก Lady Gaga’s The Monster Ball Tour: At Madison Square Garden วันที่ 15 มิถุนายน ค.ศ. 2011 บิลบอร์ดประกาศว่า Jive Label Group ได้รวมสังกัดเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับบริษัท RCA Records ในเดือนสิงหาคม ได้มีการประกาศว่าบริตนีย์ได้ย้ายเข้าเป็นศิลปินในสังกัด RCA วันที่ 28 สิงหาคม ค.ศ. 2011 ในงาน MTV Video Music Awards เอ็มทีวีวิดีโอมิวสิกอะวอร์ด เอ็มทีวีได้จัดให้มีการแสดงโชว์เพื่อยกย่องและเป็นเกียรติให้บริตนีย์ในการกลับเข้าสู่วงการเพลงอีกครั้ง ในโชว์มีแดนซ์เซอร์แต่งกายคล้ายบริตนีย์เต้นเพลงต่างๆ ในมิวสิกวิดีโอและโชว์ที่ผ่านมาทั้งหมดของบริตนีย์ ทางเอ็มทีวีได้มอบรางวัล MTV Video Vanguard Award เอ็มทีวีวิดีโอแวงการ์ดอะวอร์ด ให้กับบริตนีย์ ซึ่งเป็นรางวัลสำหรับศิลปินที่มีผลงานระดับแนวหน้ามายาวนาน โดย เลดี้กาก้า ได้รับเกียรติเป็นผู้มอบรางวัล เลดี้กาก้ากล่าวในงานประกาศรางวัลในครั้งนั้นว่า
![]() |
| ![]() |
— เลดี้กาก้า |
ในวันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ. 2011 บริตนีย์ได้ปล่อยอัลบัมรีมิกซ์อัลบัมที่ 2 B in the Mix: The Remixes Vol. 2 บริตนีย์ประกาศอย่างเป็นทางการว่าเธอและเจสัน ทราวิคได้หมั้นกัน ด้วยแหวนเพชร 3 กะรัตในงานเลี้ยงที่ลาสเวกัส เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 2011 Jo Riccitelli โจ ริคซิเทลลี่ ผู้บริหารค่าย RCA ประกาศว่าบริตนีย์จะพักงานช่วงปี ค.ศ. 2012 นี้ แต่อย่างไรก็ตาม วันที่ 30 มกราคม ค.ศ. 2012 will.i.am วิล.ไอ.แอม ประกาศทางทวิตเตอร์ว่าเขาได้อัดเพลงในอัลบัมที่ 4 #willpower วิลพาวเวอร์ โดยมีบริตนีย์มาร่วมงานด้วย และ Simon Cowell ไซมอนโคเวลได้ติดต่อให้บริตนีย์เป็นกรรมการคัดเลือกศิลปินในรายการ The X-Factor ดิเอกซ์แฟคเตอร์ ซีซันสองนี้ด้วย โดยเซนต์สัญญา 15 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และให้เจสัน ทราวิคเป็นหนึ่งในโปรดิวเซอร์ในรายการนี้ด้วย
งานการกุศล
บริตนีย์ได้ก่อตั้งมูลนิธิ The Britney Spears Foundation เดอะบริตนีย์สเปียส์ฟาวเดชัน
เดือนเมษายน ค.ศ. 2002 บริตนีย์ได้ตั้งกองทุน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อช่วยเหลือเด็ก ที่พ่อแม่เสียชีวิตจากการเข้าไปช่วยเหลือในเหตุการณ์วินาศกรรมเมื่อวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2001 เช่น ผู้ที่ทำงานเป็นนักดับเพลิง หน่วยแพทย์กู้ภัย ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ของรัฐในหน่วยงานต่างๆ ในนิวยอร์ก และ นิวเจอร์ซี อย่างไรก็ตามมีรายงานว่าในปี ค.ศ. 2008 งบกองทุนขาดดุลไป 200,000 ดอลลาร์สหรัฐ โดยช่วงที่ทรัพย์สินของบริตนีย์อยู่ภายใต้การควบคุมของบิดาและทนาย ไม่ได้มีการส่งเงินช่วยเหลือให้กองทุนจึงทำให้กองทุนนี้ต้องปิดตัวไปในปี ค.ศ. 2011 วันที่ 30 ตุลาคม ค.ศ. 2001 บริตนีย์ Bono โบโน และศิลปินชื่อดังต่างๆ ร่วมกันจัดตั้งโครงการ Artist Against AIDS Worldwide ซึ่งเป็นโครงการช่วยเหลือผู้ป่วยเอดส์ในแอฟริกาและประเทศกำลังพัฒนาทั่วโลก โดยการปล่อยซิงเกิลWhat’s Going On เพื่อโปรโมตโครงการ ในเหตุการณ์พายุเฮอริเคนแคทรีนาเมื่อปี 2006 บริตนีย์ได้บริจาคเงิน 350,000 ดอลลาร์สหรัฐ ให้กับโครงการ Music Rising ปลายปี 2011 บริตนีย์ได้บริจาคเงิน 200,000 ดอลลาร์สหรัฐเพื่อช่วยเหลือโครงการ St. Bernard Project และบริตนีย์ยังช่วยเหลืองานการกุศลอื่นๆ อีกเช่น Madonna’s Kabbalah-based Spirituality for Kids ที่มาดอนนาจัดตั้งขึ้น โครงการช่วยเหลือเด็กที่ป่วยด้วยโรคมะเร็ง Gilda’s Club Worldwide โครงการ Promises Foundation และ United Way ซึ่งเป็นโครงการอุปการะผู้ถูกเอารัดเอาเปรียบจากเหตุการณ์ต่างๆ
ผลงานเพลง
สตูดิโออัลบั้ม
- ...Baby One More Time (1999)
- Oops!... I Did It Again (2000)
- Britney (2001)
- In the Zone (2003)
- Blackout (2007)
- Circus (2008)
- Femme Fatale (2011)
- TBA (2013)
อัลบั้มรวมเพลง
- Greatest Hits: My Prerogative (2004)
- B in the Mix: The Remixes (2005)
- The Singles Collection (2009)
- B in the Mix: The Remixes Vol.2 (2011)
- Oops! I Did It Again - The Best Of Britney Spears (2012)
- One More Time: Rarities, Unrealeased and Remixes (2012)
- 1999: Time Out with Britney Spears
- 2000: Live and More!
- 2001: Britney: The Videos
- 2002: Live from Las Vegas
- 2004: In the Zone
- 2004: Greatest Hits: My Prerogative
- 2005: Britney & Kevin: Chaotic
- 2009: Britney Spears :For The Record
- 2011: Britney Spears Live: The Femme Fatale Tour
ลำดับผลงานเพลง
ปี ค.ศ. | เพลง (ซิงเกิล) | อันดับสูงสุด | อัลบั้ม | ||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
WW | U.S. | UK | CAN | AUS | GER | FRA | |||
1998 | "...Baby One More Time" | 1 | 1 | 1 | 1 | 1 | 1 | 1 | ...Baby One More Time |
1999 | "Sometimes" | 5 | 21 | 3 | — | 2 | 6 | 13 | |
" (You Drive Me) Crazy" | 1 | 10 | 5 | 8 | 12 | 4 | 2 | ||
"Born to Make You Happy" [ชาร์ต 1] | 1 | — | 1 | 21 | — | 3 | 9 | ||
2000 | "From the Bottom of My Broken Heart" [ชาร์ต 2] | — | 14 | — | — | 37 | — | — | |
"Oops!... I Did It Again" | 1 | 9 | 1 | 4 | 1 | 2 | 4 | Oops!... I Did It Again | |
"Lucky" | 2 | 23 | 5 | 50 | 3 | 1 | 16 | ||
"Stronger" | 3 | 11 | 7 | 9 | 13 | 4 | 20 | ||
2001 | "Don't Let Me Be the Last to Know" | 10 | 112 | 12 | 34 | — | 12 | 27 | |
"I'm a Slave 4 U" | 5 | 27 | 4 | 8 | 7 | 3 | 8 | Britney | |
2002 | "Overprotected" | 6 | 86 | 4 | 22 | 16 | — | 15 | |
"I'm Not a Girl, Not Yet a Woman" | 6 | 102 | 2 | 47 | 7 | 10 | 25 | ||
"I Love Rock 'n' Roll" [ชาร์ต 1] | 37 | — | 13 | 33 | 13 | 7 | — | ||
"Boys (The Co-Ed Remix) " (featuring Pharrell Williams) | 19 | 109 | 7 | 21 | 14 | 19 | 55 | ||
"Anticipating" [ชาร์ต 3] | — | — | — | — | — | — | 38 | ||
2003 | "Me Against the Music" (featuring Madonna) | 1 | 35 | 2 | 2 | 1 | 5 | 11 | In the Zone |
2004 | "Toxic" | 1 | 9 | 1 | 1 | 1 | 4 | 3 | |
"Everytime" | 1 | 15 | 1 | 2 | 1 | 4 | 2 | ||
"Outrageous" 4 | — | 79 | — | — | — | — | — | ||
"My Prerogative" | 4 | 101 | 3 | — | 7 | 3 | 18 | Greatest Hits: My Prerogative | |
2005 | "Do Somethin'" [ชาร์ต 4] | 13 | 100 | 6 | 12 | 8 | 18 | 70 | |
"Someday (I Will Understand) " [ชาร์ต 5] | — | — | — | — | — | 22 | — | Britney & Kevin: Chaotic | |
2007 | "Gimme More" | 2 | 3 | 3 | 1 | 3 | 7 | 5 | Blackout |
"Piece of Me" | 6 | 18 | 2 | 5 | 2 | 7 | — | ||
2008 | "Break the Ice" | 22 | 43 | 15 | 9 | 23 | 25 | — | |
"Womanizer" | 1 | 1 | 3 | 1 | 5 | 4 | 1 | Circus | |
"Circus" | 7 | 3 | 13 | 2 | 6 | 11 | 19 | ||
2009 | "If U Seek Amy" | — | 19 | 20 | 13 | 11 | 36 | 10 | |
"Radar" | — | 88 | 46 | 53 | 46 | — | 44 | ||
"3" | 2 | 1 | — | 1 | 7 | — | — | The Singles Collection | |
2011 | "Hold It Against Me" | 1 | 1 | 1 | 1 | 1 | 1 | 1 | Femme Fatale |
"Till The World Ends" | 4 | 3 | 21 | 4 | 8 | 27 | 8 | ||
"I Wanna Go" | 1 | 7 | - | 5 | 31 | 32 | 5 | ||
"Criminal" | 2 | 55 | - | 63 | - | - | 29 | ||
รวมเพลงที่ขึ้นอันดับ 1 | 10 | 4 | 6 | 6 | 6 | 3 | 3 | ||
รวมเพลงในอันดับ 10 | 24 | 11 | 19 | 12 | 16 | 17 | 10 | ||
รวมเพลงในอันดับ 20 | 26 | 16 | 24 | 15 | 22 | 21 | 17 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น