วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2555

The HISTORY of AdElE

ADELE

อะเดล หรือชื่อเต็มว่า อะเดล ลอรี บลู แอดกินส์ เกิดเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 1988 ได้รับการขนานนามว่าเป็นศิลปินหน้าใหม่ที่มาแรงที่สุดของเกาะอังกฤษ หลังจากออกเพียงซิงเกิลเดียว (Hometown Glory) ในแบบแผ่นเสียงเท่านั้นและขายในจำนวนจำกัด เธอสามารถคว้ารางวัล Brit Awards ล่วงหน้า ตั้งแต่เดือนธันวาคม ก่อนรับรางวัลจริงในเดือนกุภาพันธ์ 2008 ในสาขา Critic’s Choice ที่เป็นการให้คะแนนจากสื่อมวลชน นักวิจารณ์ และผู้เชี่ยวชาญในวงการเพลงอังกฤษ ตามด้วยซิงเกิลที่ 2 Chasing Pavements ที่กระโดดขึ้นชาร์ตอังกฤษในอันดับที่ 2 และรับรางวัล Sound of 2008 จาก BBC ในอีกหนึ่งเดือนต่อมา ซึ่งทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นก่อนที่เธอจะออกอัลบัมเต็มชุดแรก ที่ชื่อว่า 19
        นอกจากนั้น ทั้งที่อัลบัมยังไม่วางจำหน่าย เธอยังเป็นศิลปินหน้าใหม่ที่หาได้น้อยนัก ที่ได้ไปออกรายการของดีเจคนดังอย่างจูลส์ ฮอลแลนด์ และทำงานร่วมกับโปรดิวเซอร์มือหนึ่ง จิม แอบบิส, เอ็ก ไวต์ และมาร์ก รอนสัน รวมถึงการเซ็นสัญญากับสังกัดใหญ่ XL Recordings และการแสดงเป็นศิลปินเปิดเวทีให้กับรุ่นพี่นามกระเดื่องอีกหลายคน ทั้งแจ็ค เพญาเต, ราอูล มิดอน, เอมอส ลี และเดเวนดรา แบนฮาร์ต
         “ตั้งแต่มือถือไมโครโฟน ร้องเพลงเป็นเรื่องเป็นราวได้ ตอนประมาณอายุ 14 ฉันก็รู้เลยว่า นี่คือสิ่งที่อยากจะทำจริงๆ” อะเดลกล่าว “หลายคนไม่ชอบเสียงตัวเอง เมื่อได้ฟังเครื่องบันทึกแล้ว แต่ฉันไม่เป็นอย่างนั้น ฉันตื่นเต้นเวลาได้ยินเสียงตัวเองทุกครั้ง และไม่เคยนึกรำคาญใจเลย”
        อะเดลเป็นแฟนของศิลปินทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ ทั้งยังมาจากแนวเพลงที่แตกต่างกัน อาทิ จิล สก็อต, เอตตา เจมส์, บิลลี แบร็ก, เพ็กกี ลี, เจฟ บักลีย์ และ The Cure เป็นต้น หากสิ่งที่ศิลปินเหล่านี้คล้ายคลึงกัน และก็ฝังอยู่ในตัวอะเดลด้วย ก็คือ น้ำเสียงติดโซลอันเต็มไปด้วยจิตวิญญาณ ที่ร่ำร้องถึงความรักที่สูญหายและความทรงจำในอดีต อันสะท้อนลึกเข้าไปในห้วงอารมณ์ของผู้ที่ได้ยินเพลงของเธอ
        “ฉันอธิบายเนื้อหาของเพลงได้อย่างไม่มีปัญหา” อะเดลเล่า “ฉันชอบบทกวี อาจจะอ่านได้ไม่ดีเลิศนัก แต่ฉันรักที่จะแต่งมันออกมา ศิลปินอย่างจอล สก็อต และคาเรน ดาลตัน ช่างน่าทึ่ง ... พวกเธอเป็นนักกวีที่ยอดเยี่ยม”
        “ทั้งอัลบัมพูดถึงการอยู่ในวัย 18 – 19 และเรื่องความรัก” อะเดลเล่าต่อ “Daydreamer เกี่ยวกับผู้ชายที่ฉันเคยตกหลุมรัก เป็นความรักแบบคนโตแล้ว เขาเป็นไบเซ็กชวล และฉันรับไม่ได้ สิ่งที่ฉันอยากได้จากเขา เขาไม่มีวันทำให้ได้ ฉันเองก็ขี้อิจฉา แต่ไม่สามารถไปฟาดฟันกับทั้งผู้หญิงและผุ้ชายที่เข้ามาพัวพันกับเขาได้ มันออกจะเป็นอัลบัมที่ฟังเศร้าๆ สักหน่อย กับเรื่องราวที่ว่าถึงการนอกใจ และไม่ได้สิ่งที่คุณต้องการ”
        สิ่งที่ยึดเหนี่ยวทุกอย่างเข้าไว้ด้วยกันก็คือ น้ำเสียงมหัศจรรย์ของอะเดล ที่รับรู้ได้ถึงความไพเราะอันพิสุทธิ์ได้ตั้งแต่แรกฟัง พลังของเนื้อเสียงช่างเข้ากับบุคลิกเข้มแข็งและมุ่งมั่นของเธอ “ฉันชอบตกเป็นจุดสนใจของผู้คนนะ” เธอหัวเราะ
        อะเดลไม่ได้มาจากครอบครัวนักดนตรี “ทั้งหมดมันเริ่มมาจากการแสดงเป็น The Spice Girls และกาเบรียล” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงเริงร่า “ฉันเปิดคอนเสิร์ตเล็กๆ ให้แม่กับเพื่อนๆ ดูในห้องฉันเอง แม่เป็นคนที่มีหัวด้านศิลปะพอตัว เธอเอาโคมไฟในบ้านมารวมกัน แล้วก็ส่องเป็นสปอตไลต์ดวงใหญ่ พวกเขาที่เป็นผู้ชมก็นั่งอยู่บนเตียง” และหลังจากเพื่อนรักของพ่อเธอ ที่เป็นโปรดิวเซอร์แดนเซอร์ ได้ยินเสียงร้องของอะเดลและถึงกับเอ่ยชมว่า ‘เจ๋ง’ ก็เชื้อเชิญสาวน้อยให้บันทึกเสียงในเพลง Heart of Glass คัฟเวอร์ต้นฉบับที่เป็นของ Blondie ครั้งแรกครั้งนั้นที่ได้จับไมโครโฟน เธอรับรู้ถึงเสียงเรียกร้องจากข้างใน
        โรงเรียนมัธยมเป็นการปูพื้นฐานให้อะเดลได้รู้จักกับเด็กๆ ที่มีใจในดนตรีอาร์แอนด์บี และมีพื้นที่เล็กๆ ที่เธอใช้ร้องเพลงได้ แต่ก็ไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะกับการตามล่าหาฝันทางดนตรี ที่ที่ควรจะท้าทายอะเดลมากกว่านี้ เพื่อให้เธอได้แสดงความสามารถอย่างเต็มที่ “ครูงี่เง่าไปนิด พวกเขาสร้างความลำบากให้ฉัน ด้วยการติดสินบนทำนองที่ว่า ฉันต้องเป่าคลาริเน็ตด้วย เพื่อจะได้ร้องเพลงในวงประสานเสียง ก็เลยออกมาซะ”
        อะเดลย้ายไปอยู่โรงเรียนบริตสกูล ย่านเซลเฮิร์สท ที่มีรุ่นพี่ร่วมสถาบันอย่างเอมี ไวน์เฮาส์, สมาชิกวง The Feeling และเคต แนช แต่อะเดลก็ยังคลางแคลงใจ...
        “ถ้าฉันได้ฟังใครที่มาจากโรงเรียนนี้ก่อนละก็ ฉันอาจคิดว่าพวกเขาห่วย และฉันก็อาจจะกลายเป็นอย่างนั้นด้วยก็ได้ แต่ที่นี่มีห้องซ้อมฟรี อุปกรณ์ก็ฟรี ฉันขลุกอยู่กับดนตรีทั้งวัน ทุกวัน เป็นปีๆ วิชาดนตรีเจ๋งมาก ไม่มีเรียนเต้นรำหรืออะไรแบบนั้นเลย”
        ระหว่างชั้นเรียนปีที่ 2 การตัดสินใจเป็นนักร้องของอะเดลได้รับแรงผลักดันพิเศษเล็กน้อยจากชินงาอิ โชนิวา นักร้องนำพลังเทอร์โบของวง The Noisettes ที่ย้ายมาอยู่ข้างบ้าน “เธอเป็นนักร้องที่น่าทึ่งมาก ฉันเคยได้ยินเธอร้องเพลงผ่านกำแพงห้องมา ก็เลยแวะไปที่ห้อง แล้วเราก็ร่วมร้องด้วยกัน แจมกันประมาณนั้น การได้ยินเพลงของเธอ เสียงของเธอ ทำให้ฉันอยากเป็นนักแต่งเพลง ไม่ใช่แค่ออกมาร้องเพลงของ Destiny’s Child เฉยๆ”     
 
         แม้จะเริ่มต้นรวดเร็วผ่าน Myspace ที่เพื่อนเธอสร้างโฮมเพจให้ในวันสุดท้ายของปี 2004 แต่ก็ต้องรอจนปี 2006 กว่าค่ายเพลงจะเห็นความสามารถของเธอ “ฉันไม่ชอบให้คนคิดว่า ฉันเป็น ‘นักร้องจาก Myspace’” เธอเล่า “ฉันไม่มีสิทธิ์ทำแบบนั้น ก็ฉันมีเพื่อนแค่ 10,000 คน แต่ดูแจ็ค เพญาเต สิ นั่นเขามีล้านเลย”        ตอนที่สังกัด XL Recordings เรียกเธอเข้าประชุมด้วย อะเดลประหม่าจนต้องพาเพื่อนไปด้วย “ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่าตัวเองได้เซ็นสัญญา คนที่ดูแลศิลปินอีเมลหาฉัน ฉันก็ไม่ได้สนใจ เพราะไม่เคยรู้ว่า XL สร้างชื่อให้กับศิลปินใหญ่ๆ เหล่านั้นในค่าย”
        อะเดลได้รับความสนใจจากค่ายเพลงมากมาย XL ซึ่งเป็นค่ายอิสระและมีจุดเด่นในศิลปินที่มีเอกลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็นวงร็อคอย่าง The White Stripes หรือแร็ปเปอร์ ดิซซี ราสกาล ที่เหมาะเจาะกับศิลปินที่มีความโดดเด่นเฉพาะตัวอย่างอะเดล และในต้นปีนี้ XL ก็วางจำหน่ายอัลบัมแรกของเธอที่ชื่อว่า 19  เปิดตัวด้วยซิงเกิ้ลอกหักทว่าสวยงามเกินบรรยาย Chasing Pavements ที่ได้รับเสียงตอบรับดีเยี่ยมจากทั้งอังกฤษ และรวมถึงประเทศไทย ที่วางจำหน่ายอัลบัมนี้ในวันที่ 18 มีนาคมโดยบริษัท แพลตตินั่ม มาร์เก็ตติ้ง แอนด์ ดิสทริบิวชั่น จำกัดด้วย

        อะเดล ศิลปินสาวเจ้าของสองรางวัลแกรมมี่สาขา Best New Artist และ Best Female Pop Vocal Performance จากเพลง Chasing Pavements กลับมาพร้อมอัลบัมใหม่ชุดที่ 2 ชื่อง่ายๆ ว่า “21” ที่แสดงคอนเสปต์การทำงานภายใต้ตัวตน จิตสำนึก และความรู้สึกของเธอที่เป็นผู้ใหญ่ขึ้น
 “21” พร้อมวางจำหน่ายในปลายเดือนมกราคมทั้งที่อังกฤษและเมืองไทย ตามด้วยฝั่งอเมริกาในปลายเดือนกุมภาพันธ์ โดยมีซิงเกิลแรก Rolling in the Deep เป็น เพลงนำร่อง เขียนและโปรดิวซ์โดยอะเดล โดยมีพอล เอปเวิร์ธ เจ้าของรางวัลโปรดิวเซอร์ยอดเยี่ยมแห่งปีจากสมาคมโปรดิวเซอร์แห่งสหราช อาณาจักรและนิตยสารมิวสิกวีกประจำปี 2010 มาร่วมทำงานด้วย

     และเพียงปล่อยซิงเกิลออกไปทางสถานีวิทยุปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา Rolling in the Deep ก็ขึ้นอันดับ 1 ชาร์ตซิงเกิลและอันดับชาร์ตแอร์เพลย์ของประเทศเนเธอร์แลนด์ และได้รับเลือกให้เป็นงานบันทึกเสียงยอดเยี่ยมประจำสัปดาห์ของทั้งสถานี วิทยุบีบีซี 1 และสถานีวิทยุบีบีซี 2 รวมถึงขึ้นอันดับ 11 ชาร์ตเพลงกระแสหลักและชาร์ตมหาวิทยาลัยในเยอรมนี และสร้างกระแสนิยมในหมู่วัยรุ่นเยอรมันโดยคว้าอันดับ 12 ชาร์ตเพลงที่เยาวชนโปรดปรานที่สุดด้วย

     เพลงในอัลบัมส่วนใหญ่บันทึกเสียงที่มาลิบู โดยโปรดิวเซอร์เอกของโลก ริก รูบิน (จอห์นนี แคช, เจย์-ซี, Red Hot Chilli Peppers) และกลับไปทำส่วนสุดท้ายที่เคนซัลไรซ์กับเอปเวิร์ธในลอนดอน โดยอะเดลยกให้แวนดา แจ็กสัน, อีวอนน์ แฟร์, แอนดรูว์ เบิร์ด, แมรี เจ ไบลจ์, มอส เดฟ, Elbow, ทอม เวตส์ และคานเย เวสต์ เป็นอิทธิพลในการทำอัลบัมนี้ ซึ่งดูจากรายชื่อแล้วก็พอจะเดาทางได้ว่า “21” จะเป็นผลงานที่จัดจ้านด้วยการหยอดดนตรีและอารมณ์ที่หลากหลายเคล้าไปกับเนื้อเสียงโทนป็อปโซลอันลึกซึ้งของเธอ

     ในปี 2008 อะเดลเปิดตัวในฐานะศิลปินมืออาชีพได้อย่างงามงดหมดจด โดยนอกจากคว้ารางวัลแกรมมี่ 2 สาขาจากการเข้าชิง 4 สาขา พร้อมขึ้นทำเนียบเป็นศิลปินคนแรกที่คว้ารางวัล Critic’s Choice จากบริตอวอร์ดส์ ทั้งตัวอัลบัม “19” ยังขึ้นอันดับ 1 ชาร์ตอังกฤษตั้งแต่สัปดาห์แรก ได้เข้าชิงรางวัลเมอร์คิวรี และในปัจจุบันทำยอดขายกว่า 2 ล้านแผ่นทั่วโลก

      “21” คือบทพิสูจน์ชิ้นที่ 2 ของสาวน้อยวัย 22 จากลอนดอนที่หลายเสียงฟันธงว่า อัลบัมนี้จะเป็นโฉมหน้าใหม่ที่ใครๆ คิดไม่ถึง และโดดเด่นกว่า “19”แน่นอน




ประวัติ
อะเดล หรือชื่อเต็มว่า อะเดล ลอรี บลู แอดกินส์ เกิดเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 1988 อะเดลไม่ได้มาจากครอบครัวนักดนตรี พ่อของอะเดลแยกทางกับแม่ ตั้งแต่อะเดลอายุเพียง 3 ปี เธอเริ่มร้องเพลงเมื่ออายุ 4 ปี และค้นพบว่าตัวเองหลงรักในเสียงร้อง อะเดลได้รับแรงบันดาลใจที่สำคัญซึ่งทำให้เธอมีความรักต่อดนตรีจากวง Spice Girls ทั้งหมดมันเริ่มมาจากการแสดงเป็น The Spice Girls และกาเบรียล เธอเปิดคอนเสิร์ตเล็กๆ ให้แม่กับเพื่อนๆ ดูในห้อง และหลังจากเพื่อนรักของพ่อเธอ ที่เป็นโปรดิวเซอร์แดนเซอร์ ได้ยินเสียงร้องของอะเดลและถึงกับเอ่ยชมว่า ‘เจ๋ง’ ก็เชื้อเชิญสาวน้อยให้บันทึกเสียงในเพลง Heart of Glass คัฟเวอร์ต้นฉบับที่เป็นของ Blondie ครั้งแรกครั้งนั้นที่ได้จับไมโครโฟน เธอรับรู้ถึงเสียงเรียกร้องจากข้างใน
โรงเรียนมัธยมเป็นการปูพื้นฐานให้อะเดลได้รู้จักกับเด็กๆ ที่มีใจในดนตรีอาร์แอนด์บี และมีพื้นที่เล็กๆ ที่เธอใช้ร้องเพลงได้ แต่ก็ไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะกับการตามล่าหาฝันทางดนตรี ที่ที่ควรจะท้าทายอะเดลมากกว่านี้ เพื่อให้เธอได้แสดงความสามารถอย่างเต็มที่ อะเดลจึงย้ายไปอยู่โรงเรียนบริตสกูล ย่านเซลเฮิร์สท ที่มีรุ่นพี่ร่วมสถาบันอย่างเอมี ไวน์เฮาส์, สมาชิกวง The Feeling และเคต แนช
อะเดล ได้รับการขนานนามว่าเป็นศิลปินหน้าใหม่ที่มาแรงที่สุดของเกาะอังกฤษ[ใครกล่าว?] หลังจากที่เธอออกซิงเกิลแรก Hometown Glory รูปแบบแผ่นเสียงเท่านั้นและขายจำกัดจำนวนในเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ปลายปี 2007 เธอได้รับรางวัล Critic’s Choice ของสถาบัน Brit Awards จากการลงคะแนนเสียงของสื่อมวลชนและผู้ทรงวุฒิทางดนตรีทั่วสหราชอาณาจักร และเมื่อปล่อยซิงเกิลที่ 2 Chasing Pavements ในต้นปี 2008 ที่กระโดดขึ้นชาร์ตอังกฤษในอันดับที่ 2 ติดชาร์ตมากมายในหลายประเทศ และ ต่อมาไม่นาน ก็ได้รับการลงคะแนนจากสื่อมวลชนเช่นกัน ให้เป็น Sound of 2008 จากสถาบัน BBC ที่เป็นองค์กรสื่อมวลชนที่ยาวนานและน่าเชื่อถือที่สุดของเกาะอังกฤษ
หลังจากนั้นเธอได้ออกอัลบั้ม 19 ซึ่งเป็นตัวเลขอายุของเธอในตอนนั้น ก็ขึ้นชาร์ตอันดับสูงของซิงเกิล ก็คือ การขึ้นอันดับ 1 ในสัปดาห์แรกทันที อัลบั้ม 19 ของเธอที่ออก ในปี ค.ศ.2008 ประสบความสำเร็จทั้งยอดขายและคำวิจารณ์ ได้รับรางวัลมากมายจากในอังกฤษ รวมถึงรางวัลแกรมมี่สาขาศิลปินหน้าใหม่ (Best New Artist) และ ศิลปินเพลงป๊อปยอดเยี่ยม (Best Female Pop Vocal Performance) ในปี 2009 อัลบั้มนี้สามารถสร้างยอดขายได้ถึงมากกว่า 7 ล้านแผ่นทั่วโลก
อัลบั้ม "21" เป็นผลงานชุดที่ 2 ของเธอ ที่ยังคงคอนเซปต์บอกอายุผ่านงานเพลง และเริ่มวางจำหน่ายในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2011 ผลงานชุดนี้ขึ้นอันดับ 1 ทันทีและครองอันดับสูงสุดนี้ยาวนานถึง 13 สัปดาห์ โดยขายได้มากกว่า 19 ล้านก็อปปี้ทั่วโลก อัลบั้มนี้ยังได้รับคำชมมากมายจากนักวิจารณ์ และยังได้รับรางวัลกว่า 6 รางวัล ในงานประกาศผลรางวัลแกรมมี่ประจำปี 2012
นอกจากนี้ซิงเกิลที่ออกมา 2 เพลงได้แก่ Rolling in The Deep เพลงนี้เป็นการเปิดตัวในอังกฤษ ขึ้นอันดับ 1 ในบิลบอร์ดนาน 7 สัปดาห์ และ Someone Like You ขึ้นอันดับ 1 นานถึง 5 สัปดาห์
ในปี 2012 เธอได้รับเลือกให้ขับร้องเพลงประจำภาพยนตร์ พลิกรหัสพิฆาตพยัคฆ์ร้าย (Skyfall) ภาพยนตร์ลำดับที่ 23 ในชุดเจมส์ บอนด์ โดยมีชื่อเพลงว่า Skyfall[1]

[แก้]ผลงาน

[แก้]ผลงานเพลง

  • 19 (2008)
  • 21 (2011)

[แก้]ซิงเกิล

  • Hometown Glory (อัลบั้ม 19)
  • Chasing Pavements (อัลบั้ม 19)
  • Cold Shoulder (อัลบั้ม 19)
  • Make You Feel My Love (อัลบั้ม 19)
  • Chasing pavement (อัลบั้ม 19)
  • Rolling in the Deep (อัลบั้ม 21)
  • Someone Like You (อัลบั้ม 21)
  • Set Fire to the Rain (อัลบั้ม 21)
  • Rumour Has It (อัลบั้ม 21)
  • Turning Tables (อัลบั้ม 21)
  • สกายฟอล (ซิงเกิ้ลประกอบภาพยนตร์ พลิกรหัสพิฆาตพยัคฆ์ร้าย)

[แก้]วิดีโออัลบั้ม

  • Live at the Royal Albert Hall (2011) ยอดขาย 1,500,000 ก๊อปปี้

[แก้]คอนเสิร์ต

  • An Evening with Adele (2008–09)
  • Adele Live (2011)

[แก้]ผลงานการแสดง

  • Ushi Says: Hi (2001)
  • Saturday Night Live (2008)
  • Ugly Betty (2009)



Adele : 21

Adele : 21

อายุเธอก็แค่ 21 แต่ความสามารถประเมินเป็นตัวเลขไม่ได้

by OncE  UPoN '-' a Man

ในยุคปัจจุบัน ดูเหมือนว่าตลาดเพลงทั่วทั้งโลก จะได้ให้โอกาสเปิดรับ เด็กหรือวัยรุ่น ที่อายุยังไม่มาก ได้แสดงออกซึ่งความสามารถในการเป็นศิลปินมากขึ้น ..จากที่เมื่อก่อน หากยังเล็ก ก็ทำได้แค่เป็นนักร้อง หรือนักเต้น มิอาจเอื้อมจะได้มีสิทธิแต่งเพลง หรือดูแลการทำเพลงด้วยตัวเอง แต่ทุกวันนี้ อายุเป็นเพียงแค่ตัวเลข และความสามารถไม่สามารถคาดเดาได้แค่คิดว่า อายุยังน้อยอยู่เลย

หนึ่งในตัวอย่างที่แตกต่างออกมาจากบรรดาวัยรุ่นที่เป็นนักร้องทั่วไป คงต้องยกชื่อของ“Adele” ออกมาด้วย

แล้ว Adele เป็นใคร? Chicster หลายคนคงจะมีคำถามนี้เกิดขึ้น ..ผมก็จะสรุปคร่าวๆให้รู้จักเด็กสาวคนนี้ผ่านประวัติโดยย่อของเธอละกัน ... “Adele Laurie Blue Adkins” คือ ชื่อเต็มๆ ของเด็กสาววัย 23 ในวันนี้ ที่โด่งดัง และประสบความสำเร็จอย่างสูงในแวดวงเพลงทั่วโลก ...เธอมีต้นกำเนิดเป็นชาวอังกฤษ จากเมืองท็อตแนม (ที่หลายคนคงคุ้นยิ่งกว่า หากต่อคำว่า ฮอตสเปอร์ เข้าไป กลายเป็นทีมฟุตบอล) ได้เรียนจบในศาสตร์ทางการแสดง และศิลปะ จาก The BRIT School for Performing Arts & Technology แห่งเดียวกันกับที่มีเพื่อนร่วมรุ่นเป็น “Leona Lewis” และ “Jessie J.” ที่ดังกันไปก่อนแล้ว ..เธอเริ่มโด่งดัง จากการที่เธอได้ทำเดโมเพลงที่แต่งขึ้นของตัวเอง ถูกอัพโหลดขึ้นหน้า Myspace โดยเพื่อนสนิท เพียงไม่นานก็ได้มีค่ายเพลงติดต่อผ่านเพื่อนเข้ามา เพื่ออยากพบคนร้องเพลง นั่นจึงเป็นโอกาสที่เปิดให้ชื่อของ Adele ได้เข้ามาสู่วงการเพลงอย่างเป็นทางการ

Adele สะสมชื่อเสียงแบบเรื่อยๆ มาเรียงๆ จนได้รับโอกาสทำอัลบั้มชุดแรกเป็นของตัวเองในชีวิต ที่ใช้ชื่ออัลบั้มว่า “19” ซึ่งเป็นตัวเลขอายุของเธอในตอนนั้น ..Adele ก็เปิดตัวกับอาชีพเกิดมาเป็น อย่างเป็นทางการของเธอ ได้อย่างสวยงามในประเทศบ้านเกิด ไม่ว่าจะในแง่ของยอดขายอัลบั้มที่ดูดีเอาการ หรือจะทางด้านเสียงวิจารณ์ซึ่งเป็นที่ชื่นชมของนักฟังเพลง แล้วเมื่อแผ่ขยายมาสู่ตลาดในอเมริกา ก็ใช้เวลาไม่นาน สร้างความโด่งดัง จนที่สุดผลงานของเธอก็พิสูจน์คุณภาพผ่านการประกวดบนเวทีรางวัลระดับโลก เช่น “Grammy Awards” ในฐานะของศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม และนักร้องหญิงแนวป็อปยอดเยี่ยม เมื่อปี 2009

นี่แค่โดยย่อ ก็คงเห็นแล้วว่า Adele นับว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว และจนถึงนาทีนี้ที่เธอได้ออกอัลบั้มที่สอง ในชีวิต ที่ยังคงคอนเซปต์บอกอายุผ่านงานเพลง ด้วยตัวเลข “21” ...ใครไม่รู้จักเธอ ก็คงต้องเริ่มต้นที่จะทำความรู้จักกับเธอนับแต่อัลบั้มนี้ซะแล้ว

ในวันนี้ หากค้นประวัติของ Adele กันจริงๆ อาจจะเห็นได้ว่า เธออายุ 23 ไปแล้วเรียบร้อย แต่กับเลข 21 ที่เป็นชื่ออัลบั้มนั้น ก็คือ ความจริงที่ว่าเธอได้ลงมือทำอัลบั้มนี้ ตั้งแต่เธอยังอายุแค่นั้น ซึ่งก็ไม่ใช่แค่โดยลำพัง แต่ยังได้โปรดิวเซอร์ฝีมือเยี่ยมอีกหลายคนมาร่วมงานด้วย ซึ่งคนเหล่านั้นได้เคยผ่านการทำอัลบั้มให้กับ “Linkin Park”, “James Blunt” หรือ “Beyonce” มาแล้ว ...เอาเท่านี้ ก็คงรับประกันได้เนิ่นๆว่า 21 คือ อัลบั้มที่เราต้องลองสักตั้งว่าคุณภาพระดับนี้ จะถูกใจเราได้ในระดับไหนเชียว

เปิดตัวซิงเกิลแรกมาด้วย “Rolling in the Deep” เพลงที่แสดงออกด้วยความเจ็บปวด แต่ถูกใส่ความกระโชกด้วยดนตรีร็อค ซึ่งเป็นนิมิตรหมายแห่งการปลดปล่อย นี่เป็นการเปิดตัวที่โด่งดังพลุแตกในอเมริกาและอังกฤษ ซึ่งไต่ชาร์ตเพลงฮิตไปอยู่ในอันดับต้นๆได้เลยทีเดียว .. “Rumour Has It” มาด้วยความรู้สึกว่า พอแล้ว เหนื่อยแล้ว กับความรักที่มีให้กับคนที่ใจด้านชา จึงมาด้วยความประชด ใช้สำนวน gossip ที่ได้ยินมาว่า..เขาคนนั้นกำลังจะ... ตอกกลับเผื่อว่าจะสำนึก! จังหวะเพลงนี้ เกือบจะสนุก แต่ก็ยั้งเอาไว้เพื่อให้คอนเซปต์เพลงก้ำกึ่งจะรัก หรือจะเลิก กันแน่ .. “Turning Tables” การบอกเลิก มันอาจไม่เคยใช่เรื่องง่าย สำหรับใครหลายคน แต่มันจะง่ายสำหรับใครบางคน ที่ใจหนักแน่น และไม่หวั่นไหวกับอะไรอีกแล้ว เช่นที่เพลงนี้เปรียบเหมือนกับการเล่นเกมในโต๊ะพนัน ซึ่งเราต้องพลิกโอกาสให้อยู่ในมือเราผู้เดียวเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับใครทั้งนั้น จึงจะเอาชนะได้ ถึงตัวเพลงจะเศร้า แต่มันแฝงพลังความหนักแน่นให้กับคนที่คิดจะโบกมือลา ตัดสินใจได้แน่วแน่ไปเลย .. “Don’t You Remember” การลาจากอาจเจ็บปวด แต่มันจะเจ็บปวดมากกว่า หากเราจากกันเพราะไม่รู้เหตุผลกลใด และไม่มีทางได้รู้ตราบใดที่เขาคนนั้นหายไป แบบไม่บอกกล่าวความเป็นไปอีกแล้ว นี่เป็นเพลงที่คงบาดลึกสำหรับคนที่ยังรู้ตัวว่ารักเขาอยู่ และรอคอยจะพบเจอคนนั้นอีกครั้งได้แน่

“Set Fire to the Rain”
 เศร้ามาหลายเพลง แต่เศร้าเอาทรมานก็คงจะเป็นเพลงนี้ ที่พลีกายยอมรับในทุกสิ่งที่สร้างขึ้นมาเอง กระทั่งเอาสายฝน มาตั้งตนให้เป็นลูกไฟ ที่ต้องเผาเราให้เจ็บ เพื่อจะปลุกให้ตื่นจากความฝันที่มันไม่มีวันเป็นความจริง กับคนที่ไม่เคยเข้าใจในตัวเราเลย .. “He Won’t Go” คับคล้ายจะเป็นการหลอกตัวเอง ว่าเรายังรักเขา และเขาก็น่าจะยังรักเรา เราจึงยืนยันที่จะรอเขาให้กลับมาก่อน จะว่ามันเป็นการกระทำที่ไม่ถูกไม่ควร ทำแล้วเป็นการทำร้ายตัวเองก็คงใช่ แต่เรื่องความรักมันไม่เข้าใครออกใคร และหลายคนก็คงจะเข้าใจในสิ่งที่เพลงนี้สื่อเป็นอย่างดี หากต้องพบเจอกับเรื่องแบบนี้ด้วยตัวเอง .. “Take It All” เอาไปให้หมด รวมทั้งความรักของฉัน คือ ความปรารถนาดีที่เราทำให้ได้กับคนที่เขาหมดใจจะไปต่อกับเรา นี่อาจเป็นความเจ็บที่จำเป็นต้องรับไว้ แต่เรื่องราวดีๆที่ผ่านมาก็ควรค่าแก่การเก็บไว้ในความทรงจำเช่นเดียวกัน มันจึงเป็นเพลงเศร้า ที่ส่งท้ายการจากลาด้วยดี แม้ว่ามันจะเป็นข้างเดียวก็อย่าได้แคร์คนอีกข้าง .. “I’ll Be Waiting” จากลาอย่างซึมมาก็แทบทุกเพลง แต่เพลงนี้ผสมความเริงรื่น (ของดนตรี) ปนๆ เข้ามาอย่างแอบๆ แบบว่า ถึงจะต้องเกิด แต่ก็ยอมให้มันเกิด เพราะเชื่อว่าสักวัน หากเราเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนที่ดีขึ้น มันคงจะสักวันที่รักเดิม กับคนเดิม จะคืนกลับมาอีกครั้ง เป็นการมองในมุมบวก ที่ทำให้ชีวิตคืนความหวัง หลังจากฟังเพลงเศร้าเอาเจ็บมาติดๆ หลายเพลงแล้ว

“One and Only” หนึ่งเดียวคนนี้ ที่เธอคู่ควร ดูเป็นการท้าทายเอาเรื่องของผู้หญิง ที่มั่นใจว่าตัวเอง ใช่ที่สุด สำหรับผู้ชายที่เธอรัก แต่จะว่าไปความมั่นใจ ก็คือ เรื่องหนึ่งที่คนเราทุกวันนี้มักได้ขาดหายไปในการมีความรัก และ Adele ก็คงจะเป็นตัวแทนของฝั่งผู้หญิงที่อยากชวนให้ทุกคนมาทำใจใหญ่ ให้รู้กันไปว่า คบกับฉัน ความรักของเราจะยิ่งใหญ่ไปพร้อมกัน! ตรงไปตรงมา แต่ถ้าเจอแบบนี้ ผู้ชายเป็นต้องโดน! มั้งละ .. “Love Song” เอาให้หวานขึ้นตา เป็นเบาหวานเฉียบพลันกันเลย กับเพลงนี้ที่พ่นแต่ความรู้สึกดีๆ เมื่อฉันได้อยู่กับเธอ ใครคิดว่าจะมีแต่เพลงเลิกๆ คงปรับโหมดแทบไม่ทันเลยทีเดียว ..“Someone Like You” คนรักเก่าของเราอาจไปได้ดีกับคนใหม่แล้ว แต่กับเราซึ่งยังไม่มีใคร สิ่งที่ตามหามาตลอดก็คงเป็นใครคนใดคนหนึ่ง ซึ่งมีอะไรที่เหมือนกับ คนเก่าคนนั้น เพลงนี้แสดงซึ่งความรู้สึกว่า เราเคยรักเขาอย่างไร วันนี้ก็ยังรู้สึกดีเช่นนั้น เพียงแต่ก็เข้าใจว่าต่างคนต่างต้องไปมีอนาคตที่ดีทั้งนั้น และแค่หวังว่าสักวันจะเจอคนที่ดีแบบเธอเช่นกัน

นอกเหนือจาก 11 เพลงนี้แล้ว ในอัลบั้ม 21 จริงๆ ก็ยังมี Bonus แถมมาให้อีก ซึ่งตามแต่ละฟอร์แมตของแต่ละที่ในโลกจะจัดมา เช่นบ้านเรา ซึ่งอยู่ในแถบเอเชีย ก็จะเป็น 3 เพลงในอีกเวอร์ชั่นที่เป็นบันทึกการแสดงสด แบบอะคูสติก ส่วนจะเป็นเพลงใดบ้าง ก็ลองให้คุณได้ค้นหาข้อมูลด้วยตัวเองเลยแล้วกัน (Google จัดไป!)

ในแง่ของการจัดเรียง ต้องขอบคุณจริงๆ ซึ่งไล่เรียง ความเศร้าจากมุมลบ มาหามุมบวก จนกระทั่งมีเพลงที่ให้ความรู้สึกดีในช่วงท้าย ..ส่วน Adele จะว่าเป็นอีกหนึ่ง Diva ของยุคนี้เลยก็ย่อมได้ เพราะเสียงที่มีพลังใหญ่โตของเธอที่เกินวัย มันช่างบาดอารมณ์ได้ดีแท้ ยิ่งอัลบั้มนี้มาด้วยคอนเซปต์เน้นเจ็บ ก็คงทำให้คนที่กำลังบาดเจ็บจากความรัก น่าจะปวดใจได้หนักหน่วงสุดตัว นี่ไม่รวมกับความสามารถแต่งเพลงร้องเอง แล้วสะท้อนความเป็นตัวเรา ผ่านตัวเธอได้อย่างเด็ดขาด ซึ่งเป็นจุดขายที่ทำให้เพลงเธอ ง่ายต่อการฮิตนัก

พูดมาขนาดนี้ อยากรู้จริงๆว่า จะทำให้คุณสนใจใน Adele ผู้นี้ได้บ้างหรือยัง? แต่ถ้ายังไม่มั่นใจว่าสิ่งที่ผมพูดจะเชื่อได้ ก็อยากให้ลองค้นหาความจริงจากการฟังเพลงทั้งอัลบั้มนี้ด้วยตัวเองเลยจะดีที่สุด ...ขอเพียงเรื่องเดียวที่ผมอยาก แค่เชื่อไปก่อนแล้วว่า มันคุ้มแน่ แค่ได้ลองรู้จักกับสาววัย 23 คนนี้ จากอัลบั้มที่เธอทำมาตั้งแต่อายุ 21 ..และคุณจะรู้ว่า ความสามารถเกินวัย คือ เรื่องจริง ที่ผมไม่ได้โม้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น